จักรกฤษณ์ ควรพจน์
  
เสน่ห์ จามริก ได้กล่าวกับผมว่า กระแสโลกาภิวัตน์จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงคงอยู่ของฐานทรัพยากรของไทย
 และขอให้ผมช่วยทำโครงการวิจัยโครงการหนึ่งเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์และฐานทรัพยากรเพื่อจะรักษาฐานทรัพยากรของประเทศให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป
  ฐานทรัพยากรเขตร้อน (Tropical resources base) มีความหมายกว้างกว่าคำว่า ทรัพยากรธรรมชาติ
เพราะแสดงถึงความสำคัญเชิงคุณค่าของทรัพยากรที่มิได้มองแยกย่อยไปในรายทรัพยากร
 หากแต่หมายถึงการดำรงอยู่ร่วมกันของทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภท
  และรวมถึงสิ่งแวดล้อมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ฐานทรัพยากรมิได้มีความสำคัญในทางเศรษฐกิจเท่านั้น
หากแต่เป็นปัจจัยการดำรงชีวิตของมนุษย์ในฐานะที่เป็นแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
 ตลอดจนมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมต่อวิถีชีวิตของผู้คนและชุมชนท้องถิ่น

โลกาภิวัตน์นั้นมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบก็มีผลกระทบต่อฐานทรัพยากรแตกต่างกันไป
 โลกาภิวัตน์ด้านการวิจัยเทคโนโลยีกับผลกระทบต่อการเกษตรของไทยก็เป็นตัวอย่างที่ดีกรณีหนึ่ง
  เกษตรกรรมมีความสำคัญยิ่งต่อไทย เป็นทั้งแหล่งอาหารและสินค้าส่งออกที่นำรายได้มาสู่ประเทศ
เกษตรกรไทยได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นพัฒนาความรู้ด้านการเกษตรมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์
จากพันธุ์ธรรมชาติให้เป็นพันธุ์พื้นเมืองหรือความรู้ในระบบการเกษตรขนาดเล็กแบบผสมผสาน
 ที่ช่วยดำรงความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่
  ประเทศตะวันตกเล็งเห็นความสำคัญและต้องการสร้างฐานอุตสาหกรรมการเกษตรของตน
ประเทศเหล่านั้นได้พัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่
 การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจะทำโดยบริษัทเอกชนเป็นส่วนใหญ่ รูปแบบและวิธีการวิจัยก็แตกต่างจากเทคโนโลยีพื้นบ้าน
  จากเดิมที่การปรับปรุงพันธุ์สัตว์กระทำกันโดยอาศัยพลังธรรมชาติ การวิจัยและพัฒนาแนวใหม่ได้มุ่งไปสู่เทคโนโลยีชีวภาพ
มีการใช้เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเพื่อให้มีลักษณะตามที่ต้องการ
การวิจัยและพัฒนาแนวใหมได้มุ่งไปสู่เทคโนโลยีชีวภาพ
มีการใช้เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเพื่อให้มีลักษณะตามที่ต้องการ การวิจัยปรับปรุงพันธุ์จะมีเป้าหมายด้านเศรษฐกิจ
เช่น มุ่งในการพัฒนาลูกผสมของพืชที่เป็นที่ต้องการของตลาดสองชนิด คือ ถั่วเหลืองและข้าวสาลี
การวิจัยแนวใหม่มิได้ช่วยเพิ่มจำนวนพันธุ์พืชที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรม หากแต่เน้นการเกษตรเชิงเดี่ยว ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง การจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรก็มักกำกับด้วยข้อตกลงผูกมัดหลายประการ เช่น มีข้อห้ามแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ ข้อห้ามใช้ผลิตผลเป็นเมล็ดพันธุ์ ข้อจำกัดการส่งออก ฯลฯ

ผู้ได้ประโยชน์ คือเกษตรกรรายใหญ่และบริษัทเมล็ดพันธุ์
 ส่วนเกษตรกรรายย่อยจะถูกเปลี่ยนฐานะเป็นผู้รับจ้างผลิตของบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น
  ในประเทศที่พัฒนาแล้ว บริษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่ต่างแข่งขันกันทำวิจัย เมื่อประสบความสำเร็จเทคโนโลยีเหล่านั้นก็จะถูกจดสิทธิบัตร
โดยอ้างว่ากำไรที่ได้จะถูกใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนาต่อไป
ทั้งที่ผลการวิจัยจำนวนมากมิได้เป็นการปรับปรุงลักษณะพันธุกรรมพืชหรือสัตว์ที่เป็นประโยชน์
 หากแต่ทำไปเพื่อสนองต่อการตลาดของบริษัท ด้วยการทำให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เท่านั้น
  สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่บริษัทเหล่านี้ถือครอง ได้ปิดกั้นการทำวิจัยของบริษัทอื่น
หรือถูกใช้เป็นเครื่องกีดกันกันเองระหว่างบริษัทเจ้าของ เช่น ขณะนี้มีสิทธิบัตรในเทคโนโลยีบีที
สำหรับการสร้างพืชดัดแปลงพันธุกรรมเป็นจำนวนกว่าหนึ่งร้องสิทธิบัตร โดยทั้งหมดเป็นสิทธิบัตของบริษัทขนาดใหญ่เพียง 4 บริษัท
 แน่นอนว่าโอกาสที่บริษัทขนาดเล็กหรือนักวิจัยรายย่อยจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ย่อมมีน้อยยิ่ง
  นอกจากอาศัยสิทธิบัตรทางกฎหมาย บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ยังใช้กลวิธีการตลาดอย่างอื่นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็น การทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิไขว้กัน (Cross licensing) และการร่วมแชร์สิทธิบัตร (Patent pooling)
การควบคุมกิจการก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่บริษัทเมล็ดพันธุ์ใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี
 สร้างอำนาจตลาดและเพื่อเลี่ยงการแข่งขันกันเองโดยไม่จำเป็น
  แต่วิธีการเหล่านี้ก็มีผลกระทบต่อการแข่งขัน จำกัดโอกาสเข้าสู่ตลาดของบริษัทขนาดเล็ก สภาพการแข่งขันที่ลดลง
และการเพิ่มขึ้นของอำนาจผูกขาดบริษัทขนาดใหญ่เป็นที่ประจักษ์ในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในระหว่างปี 2523-2532
 เทคโนโลยีบีทีกว่า 50% ถูกถือครองโดยมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในสหรัฐ
ในปี 2537 สิทธิบัตรเหล่านี้ได้ถูกโอนขายให้แก่บริษัทเอกชน เหลือที่ถือครองโดยมหาวิทยาลัยและสถาบันของรัฐเพียง 23% และอีก 5
ปีต่อมาสิทธิบัตรในเทคโนโลยีบีทีทั้งหมดก็ถูกครอบครองโดยบริษัทเพียง 4 บริษัท
เป็นบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งได้รวบรวมสิทธิบัตรมาด้วยการซื้อสิทธิ
ด้วยการซื้อกิจการของบริษัทขนาดเล็กและด้วยการควบรวมกันเองระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ด้วยกัน เช่น
การควบรวมกิจการระหว่างสองบริษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่ AstraZeneca และ Novartis กลายเป็นบริษัท Syngenta
 มีผลให้บริษัทเกิดใหม่กลายเป็นผู้ถือครองเทคโนโลยีบีทีกว่า 60%
  ในประเทศกำลังพัฒนาที่มีตลาดเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่ เช่น บราซิล เม็กซิโก
มีหลักฐานแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของการควบรวมกิจการของบริษัทเมล็ดพันธุ์
 โดยเฉพาะหลังจากที่ประเทศเหล่านั้นอนุญาตให้มีการเพาะปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมในเชิงพาณิชย์และหลังจากที่ประเทศเหล่านั้นได้บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช
  เช่น ปี 2542 มอนซานโต้สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดเมล็ดพันธุ์ในบราซิลจาก 15% เป็น 60% แต่ในทางกลับกัน
 ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทท้องถิ่นกลับลดลงเหลือเพียง 5%
  การลดลงของการแข่งขันและการกระจุกตัวของเทคโนโลยีการเกษตร นับเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางอาหาร ต่อเกษตรกรรม
 และต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร การปกป้องฐานทรัพยากรด้านการเกษตรของไทย จำเป็นต้องอาศัยนโยบายที่เหมาะสม
  ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ด้านทรัพย์สินทางปัญญาในสิ่งมีชีวิต การวิจัยเทคโนโลยี
การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ระหว่างเกษตรกร
 และนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้เพื่อการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป
  ไทยจะต้องส่งเสริมการวิจัยของสถาบันภาครัฐ เพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับระบบการเกษตร
เพื่อลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติและทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด นอกจากนี้ ต้องส่งเสริมการแข่งขันและป้องกันการผูกขาดของบริษัท
 โดยใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าเป็นเครื่องมือ
  

 
 
 


 English to Chinese BETA
 English to Chinese BETA English to French
 English to French English to German
 English to German English to Italian
 English to Italian English to Japanese BETA
 English to Japanese BETA English to Korean BETA
 English to Korean BETA English to Russian BETA
 English to Russian BETA  English to Spanish
 English to Spanish
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น