

อันที่จริง ความวุ่นวายขนาด "ย่อม" ที่เกิดขึ้นกับชาวนาสะท้อนความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย นั่นคือ กระบวนการโลกาภิวัตน์ได้ "ทะลวง" เข้าถึงในระดับรากหญ้าอย่างทั่วถึงและลงลึกกว่าที่หลายคนคาดถึง ซึ่งลำพังแค่การเปลี่ยนแปลงราคาข้าวเพียงแค่วันสองวัน กลับส่งผลกระทบต่อชาวนาได้อย่างรวดเร็ว แต่ภาพที่เราเห็นก็คือคนระดับรากหญ้าของเราไม่อาจประเมินถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ และคาดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนแปลงจะมาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทันเช่นนี้ ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา จึงไม่มีวิธีอื่นนอกจากการรวมตัวเรียกร้องให้ภาครัฐช่วย
อย่าลืมว่า ในช่วงที่ทุกคนเห็นว่าเป็น "นาทีทอง" อยู่นั้น ไม่ใช่จะไม่การกล่าวเตือนกันให้ระมัดระวัง หรือแม้แต่ภาครัฐก็พยายามอย่างยิ่งจะแจ้งเตือนราคาให้ชาวนาได้รับรู้ แต่เมื่อทุกคนอยู่ในภาวะ "ตื่นตระหนก" เสียแล้ว ก็เป็นเรื่องยากจะทำให้เกิดการตัดสินอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดภาวะแสวงหากำรไสูงสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าคนระดับรากหญ้า โดยเฉพาะชาวนาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไร้ "ภูมิคุ้มกัน" เพียงพอกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในระดับโลก และไม่อาจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับราคาข้าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลกาภิวัตน์เท่านั้น ยังมีความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น ราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนทุกระดับ แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือคนระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ไม่สามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงได้ และเชื่อว่าหากคนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งเพียงพอ เราเชื่อว่าในระยะต่อไป คนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบมากที่สุดกับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจยุคใหม่

เราเห็นว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ยังไม่มีแผนพัฒนาที่ดีพอ โดยเฉพาะการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนของประเทศตัวเอง รัฐบาลทำได้อย่างมากก็เพียงการ "วิ่ง" ตามการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก เราจึงมีแต่ประชาชนที่เต็มไปด้วยความ "อ่อนแอ" ต้องพึ่งพารัฐบาลและนักการเมืองตลอดไป
โดย : กรุงเทพธุรกิจบิสวีค วันที่ 16/05/2008